

ฝ้า รอยกระดำกระด่างบนผิวที่สร้างความรำคาญใจให้กับใครหลายๆ คน โดยฝ้าอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในร่างกาย เช่น พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความเครียด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมไปถึงปัจจัยภายนอกอย่างรังสี UV จากแสงแดด มลภาวะ ฝุ่นควัน การใช้ยาบางชนิด หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว หากปล่อยทิ้งไว้นานวันปัญหาฝ้าเหล่านี้อาจฝังลึกมากขึ้นจนจัดการได้ยาก การเลือกวิธีรักษาฝ้าที่เหมาะสมจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม วิธีรักษาฝ้าต้องทำอย่างไร? รักษาฝ้าด้วยตัวเองหายจริงหรือไม่ หรือควรเลือกใช้วิธีรักษาฝ้ารูปแบบไหน THE KLINIQUE มีคำตอบ
รักษาฝ้าด้วยตัวเองได้จริงไหม ฝ้าจะหายไปจริงหรือเปล่า?
การดูแลฝ้าด้วยตัวเองสามารถช่วยให้ฝ้าระยะเริ่มต้นหรือฝ้าชนิดตื้นมีแนวโน้มจางลงได้ในระดับหนึ่ง หากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการดูแลผิวที่ถูกวิธี เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดด เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ และใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ อย่างไรก็ตามหากเป็นฝ้าลึกหรือมีปัญหาฝ้ามายาวนานหลายปี การใช้วิธีรักษาฝ้าด้วยตนเองแค่เพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถเห็นผลที่ชัดเจน หรืออาจใช้เวลานานกว่าจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่น่าพอใจ
รวมวิธีรักษาฝ้าด้วยตัวเอง
การรักษาฝ้าด้วยตนเองสามารถช่วยให้รอยฝ้าระยะเริ่มต้นหรือฝ้าตื้นดูจางลงได้ในระดับหนึ่ง ด้วยการใช้วิธีรักษาฝ้าด้วยตัวเอง เช่น
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) และไวท์เทนนิง เช่น วิตามินซี อาร์บูติน กรดโคจิก AHA, BHA เพื่อช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส และทำให้รอยฝ้าค่อยๆ จางลงอย่างปลอดภัย
- การมาส์ก หรือพอกหน้าด้วยสมุนไพร ที่มีสรรพคุณช่วยลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน ปรับผิวให้กระจ่างใสและชุ่มชื้นมากขึ้น เช่น สูตรมาส์กหน้าด้วยใบบัวบก มะขามเปียก มะนาว มะละกอสุก หัวไชเท้า ขมิ้นชัน ฯลฯ ทั้งนี้แนะนำว่าควรทดสอบการแพ้โดยเริ่มจากทาบริเวณท้องแขนหรือหลังใบหู ประมาณ 15-20 นาที หากไม่มีการระคายเคืองจึงเริ่มใช้ที่บริเวณผิวหน้า
- ปกป้องผิวจากแสงแดด รังสี UV ในแสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UVA, UVB
- รับประทานอาหารที่ดีต่อผิว เน้นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน C, E สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งพบได้ผักใบเขียว ผลไม้ ถั่วและธัญพืชต่างๆ และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อช่วยฟื้นฟูและป้องกันการเกิดเม็ดสีผิดปกติ ฝ้า กระ จุดด่างดำ
- นอนหลับให้เพียงพอ และจัดการความเครียดให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวนและเป็นสาเหตุทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ โดยควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง และหมั่นดูแลสุขภาพจิตให้แจ่มใสเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้าในระยะยาว


ข้อจำกัดของการใช้วิธีรักษาฝ้าด้วยตัวเอง
แม้ว่าการรักษาฝ้าด้วยตัวเองจะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเนื่องจากประหยัดและสะดวกมากกว่า แต่การรักษาฝ้าด้วยตัวเองอาจมีข้อจำกัดอยู่ด้วยกันหลายประการ เช่น
- เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงช้า และไม่สามารถจัดการฝ้าลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคืองผิว ผิวบางลง และทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายขึ้นเมื่อใช้วิธีที่ไม่เหมาะสม
- ไม่สามารถควบคุมปัจจัยกระตุ้นการเกิดฝ้าได้อย่างครบถ้วน เช่น ฝ้าที่เกิดจากพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือความเครียด
- เสี่ยงต่อการใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดฝ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีสารต้องห้าม เช่น สารปรอท สเตียรอยด์ ไฮโดรควิโนน ซึ่งทำให้ปัญหาฝ้ารุนแรงขึ้น


หากลองใช้วิธีรักษาฝ้าด้วยตัวเองแล้วแต่ยังไม่เห็นผล หรือเริ่มสังเกตว่ารอยฝ้ากลับเข้มขึ้นเรื่อยๆ อาจถึงเวลาที่ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของการเกิดฝ้าอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาทาและยารับประทานเพื่อช่วยรักษาฝ้า การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling) โปรแกรมฉีดรักษาฝ้า และการทำเลเซอร์ลดเม็ดสี เช่น Q-Switch Laser, Pico Laser หรือ Dual Yellow Laser เพื่อช่วยรักษาฝ้าให้ดูจางลงได้อย่างชัดเจน มีปัญหาฝ้ากวนใจ ที่ THE KLINIQUE เราพร้อมดูแลทุกเคสด้วยเทคโนโลยีรักษาฝ้าที่ทันสมัยและปลอดภัย มีการประเมินปัญหาผิวอย่างละเอียดและวางแผนการรักษาฝ้าเฉพาะรายบุคคล ดูแลทุกเคสโดยแพทย์ ให้คุณได้เป็นเจ้าของผิวสวยเนียนใส ไร้รอยฝ้าได้อย่างมั่นใจ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองคิวเข้ารับโปรแกรมรักษาฝ้าได้ที่ THE KLINIQUE


เพราะความสวยของคุณคือความสุขของเรา ให้ THE KLINIQUE ดูแลคุณ
สอบถามโปรโมชั่นหรือปรึกษาปัญหาผิวและรูปร่างฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย!
Line OA: http://bit.ly/TheKlinique